เทคนิคดูแลรถ

 You are what you eat.
สุขภาพของท่านขึ้นอยู่กับ
สิ่งที่ท่านรับประทานเข้าไป

รถของท่านก็เช่นกัน....
ประสิทธิภาพของรถจะดีแค่ไหน
ก็อยู่ที่ท่านป้อนอะไรให้รถ”


    รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ รถบรรทุก หรือยานพาหนะอะไรก็ตาม เราซื้อมาในราคาแพงแสนแพง แต่ก็คุ้ม ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราใช้งานมันเกือบทุกวัน แน่นอนว่ารถทุกค่าย รถทุกคัน ล้วนออกแบบและสร้างมาอย่างดีอย่างเต็มกำลังความสามารถของวิศวะกร การปรับจูนแต่งเครื่องยนต์ต่างๆสามารถทำ หรือไม่ทำก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องทำก็คือการใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพเติมให้กับรถของท่าน

1. การเลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิง

1.1 มาตรฐาน
น้ำมันเชื้อเพลิงมีมาตรฐานเรียกว่ามาตรฐานยูโร โดยเริ่มตั้งแต่ Euro 1 - Euro 6 (ปัจจุบันสูงสุดอยู่ที่ Euro 6) กล่าวโดยสรุปง่ายๆว่า การแบ่งเกรดดังกล่าววัดจาก ค่าการให้พลังงานต่อหน่วย และค่าการปล่อยมลภาวะ กล่าวคือยิ่งให้พลังงานเยอะยิ่งดี ขณะที่ยิ่งปล่อยมลภาวะยิ่งน้อยยิ่งดี ส่วนใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็จะผลักดันให้ใช้ Euro6 ส่วนในประเทศไทยใช้ Euro 4



1.2 การกลั่น
การ “กลั่น” ที่ดีก็ยิ่งทำให้โมเลกุลมีขนาดเล็กละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น Euro 6 ก็คือมันละเอียดที่สุดแล้ว ทำให้หัวฉีดสามารถฉีดน้ำมันออกมาเป็นละอองละเอียดได้ง่าย การเผาไหม้ก็ทำได้ง่าย เมื่อเผาไหม้ได้หมด ก็จะได้พลังงานสูง และเมื่อเปลี่ยนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นพลังงานไปแล้ว การปล่อยมลภาวะก็จะน้อยลงไปเอง

1.3 น้ำมันพรีเมี่ยม
มีคุณภาพสูงกว่าน้ำมันธรรมดา แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการใส่ Additive (สารปรับเพิ่มคุณภาพ) ไม่ใช่การเปลี่ยนโรงกลั่น เพราะนั่นหมายถึงเงินลงทุนหลักแสนล้าน

1.4 หัวเชื้อน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยทั่วไปคำว่า “หัวเชื้อ” ก็หมายถึง “หัวเชื้อ” นั่นแหละ ถ้าเป็นน้ำมันเบนซิน หัวเชื้อที่เติมเข้าไปก็คือ ออกเทน , ส่วนถ้าเป็นน้ำมันดีเซล หัวเชื้อที่เติมเข้าไปก็คือ ซีเทน ดังนั้นต้องเลือกเติมให้ถูกต้องกับน้ำมันที่ตนเองใช้ (มีความเชื่อว่าถ้าเพิ่มออกเทนหรือซีเทนแล้วรถจะแรงขึ้น)


1.5 หัวเชื้อพรีเมี่ยม



คือ Additive (สารปรับเพิ่มคุณภาพ) ที่ใช้ผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเพิ่มเกรดของน้ำมัน ไม่ใช่หัวเชื้อออกเทน หรือซีเทน เป็นทางเลือกของผู้ใช้รถว่าจะเลือกเติมน้ำมันพรีเมี่ยมเลย หรือจะเติมน้ำมันธรรมดา แล้วเติมหัวเชื้อพรีเมี่ยมเข้าไป เพื่อให้ได้น้ำมันพรีเมี่ยมเหมือนกัน ทั้งนี้คุณภาพ ประสิทธิภาพอาจแตกต่างกันไป (ควรทำสอบทั้งสองวิธี แล้วค่อยตัดสินใจว่าแบบไหนดีกว่ากัน)

2.  การเลือกใช้น้ำมันเครื่อง

วิธีดูแลรักษาเครื่องยนต์ที่ดีคือการใช้น้ำมันเครื่องที่ดี เพราะคุณสมบัติหลักของน้ำมันเครื่องคือการหล่อลื่น ซึ่งถ้าหล่อลื่นดีก็จะลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้ (เครื่องหลวมช้า) โดยเครื่องหลวมนั้น เกิดขึ้นได้จากการเสียดสีระหว่างลูกสุบและกระบอกสูบ และการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ ซึ่งจะเกิดความร้อนสูงราว 500-750 องศาเซลเซียส

วิธีเลือกใช้น้ำมันเครื่อง
ในที่นี้ขอพูดถึงแค่มาตรฐาน SAE ที่นิยมใช้ในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 2 ชุด
ตัวเลขชุดหน้า แสดงถึงค่ามาตรฐานในเขตหนาว จะเป็นการวัดค่าต้านทานการเป็นไข โดยใช้ตัวอักษร W ย่อมาจาก WINTER โดยตัวเลขค่าต่างๆ มีไว้เพราะในประเทศที่เป็นเมืองหนาว ก็คือเวลาหนาวมากๆอุณหภูมิติดลบ น้ำมันอาจกลายเป็นไข ก็จะทำให้สตาร์ทเครื่องไม่ติด แต่...บ้านเราเป็นเขตร้อน ดังนั้นมันจะเป็น 0W หรือ 10W ก็ล้วนไม่มีผลในประเทศไทยทั้งนั้น
 
ตัวเลขชุดหลัง แสดงถึงการวัดค่าความหนืดที่อุณหภูมิ 100 องศาเซสเซียส แทนค่าออกมาเป็นตัวเลขเรียกว่า เบอร์ของน้ำมันเครื่อง (NUMBER) เช่น 30, 40, 50 เป็นต้น โดยตัวเลขที่มากขึ้น แสดงถึง ความหนืดน้ำมันที่มากขึ้น แต่...ความหนืดก็ไม่ได้เป็นตัวบอกคุณภาพของน้ำมันเครื่องนั้น ๆ ท่านควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดที่เหมาะสมกับสภาพของเครื่องยนต์ และสภาพการใช้งานของท่าน (รถใหม่ๆสามารถดูตามคู่มือได้เลย) เช่น หากรถของท่านเป็นรถใหม่ ก็ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืดใส(เบอร์น้อยๆ) จะช่วยในการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น แต่เมื่อรถเก่าแล้ว ท่านก็เพิ่มความหนืดหรือก็คือความหนาของมันเครื่องให้เป็นเบอร์สูงขึ้น

3.  การเลือกใช้หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง


3.1 ควรเติมหัวเชื้อน้ำมันเครื่องหรือไม่ ต้องตอบว่า “ขึ้นอยู่กับผู้ใช้รถ”
กรณีที่ไม่จำเป็นต้องใช้ เช่น ผู้ใช้รถที่ขับขี่ไม่รวดเร็ว ขับแค่ระยะทางสั้นๆ เช่น ขับจากบ้านไปที่ทำงานไม่กี่นาที เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานหนัก จึงไม่มีความจำเป็น
กรณีที่จำเป็นต้องใช้ เช่น ผู้ที่ขับรถเร็ว หรือต้องขับไปไกลๆ นานๆ หรือผู้ที่ไม่มีเวลาตรวจเช็คปริมาณน้ำมันเครื่อง (เมื่อน้ำมันเครื่องพร่อง ความร้อนในเครื่องจะสูงขึ้น)

3.2 หัวเชื้อน้ำมันเครื่องคืออะไร
ส่วนหัวเชื้อน้ำมันเครื่องทั่วๆไป ที่อยู่ในท้องตลาด ส่วนมากคือ “สารเคลือบ” (แม้ฉลากสินค้าจะเขียนว่าหัวเชื้อน้ำมันเครื่องก็ตาม) โดยมีหลักคิดคือ เมื่อใช้รถไปนานๆ ลูกสูบและกระบอกสูบเกิดอาการหลวม คือไม่ฟิตเหมือนรถใหม่ๆ การที่เราเคลือบพื้นผิวของลูกสูบและกระบอกสูบให้หนาขึ้น มันก็ทำให้รถกลับมาฟิตเหมือนใหม่ได้ แต่มีข้อเสียคือ มันจะตกค้างอยู่ในเครื่องตลอดไป ดังนั้นจะพบข่าวทาง internet ว่าเมื่อผ่าเครื่องยนต์จะพบว่ามียางเหนียวไหม้ติดอยู่ที่กระบอกสูบ หรือบางท่านอาจเคยพบกับประสบการณ์ “ลูกสูบติด” ก็คือท่านที่ไม่ทราบว่ามันคือสารเคลือบ พอเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทีไร ก็เติมหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง (สารเคลือบ) เข้าไปทุกครั้ง บ่อยๆเข้ามันก็เคลือบหนาขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งลูกสูบไม่สามารถเคลื่อนที่ได้

หัวเชื้อน้ำมันเครื่องแท้  หายากมากเพราะวิธีการผลิตคือต้องนำเข้าหัวเชื้อน้ำมันเครื่องแท้ๆจากต่างประเทศ แล้วนำมาพัฒนาใส่สารปรับคุณภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหัวเชื้อน้ำมันเครื่องที่นำเข้ามา ให้มีคุณภาพสูงขึ้นไปอีก

3.3 ทำไมน้ำมันเครื่องพร่อง
|
มีสองกรณี
3.31 ประเก็นเครื่องรั่ว ต้องเข้าอู่ซ่อม
3.32 กรณีที่ไม่มีการรั่วซึม จะเกิดจากการที่น้ำมันเครื่องโดนความความร้อนที่สูงเกินกว่าที่มันทนได้ เปรียบเหมือนคนโดนต่อยท้อง ถ้าต่อยเบาๆตัวเราจะเกร็จท้องรับไว้ได้ แต่ถ้าต่อยแรงๆตัวเราจะงอ น้ำมันเครื่องก็เช่นกัน เมื่อโดนความร้อนเกินกว่าที่ตัวมันทนได้ มันก็จะหดตัว

4.  จำเป็นหรือไม่ที่ต้องล้างหัวฉีด


ตอบได้ว่า “จำเป็นอย่างยิ่ง” ด้วยหลายเหตุผลมาก เริ่มจากในประเทศไทยใช้น้ำมันเชื้อเพลิง Euro4 แต่ถ้าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วจะใช้ Euro6 โดยน้ำมัน Euro4 จะมีความละเอียดน้อยกว่า Euro6 มันก็เปรียบเหมือนการเอาของใหญ่ๆใส่ลงไปในหัวฉีดเล็กๆ พยายามฉีดออกมาให้เป็นละอองละเอียดที่สุด (เพื่อให้แรงและประหยัดน้ำมัน) ถ้านึกไม่ออกให้นึกภาพฝักบัวอาบน้ำครับ  เวลาที่น้ำมันพยายามจะผ่านรูเล็กๆออกมา ถ้าน้ำประปาเราไม่ดีจริงมันก็จะอุดตัน แต่การอุดตันของหัวฉีดมันอันตรายกว่าฝักบัวอาบน้ำตันมาก เนื่องจากเมื่อฉีดน้ำมันเข้าไปเผาไหม้ไม่ได้ ก็แปลว่า...เครื่องดับ จะดับตอนไหนก็แล้วแต่ดวง ซึ่งมันอาจเป็นอันตราย หรือเกิดอุบัติเหตุได้เลย อีกทั้งแต่ละหัวฉีดนั้น จะต้องมีอัตราการฉีดที่สม่ำเสมอและเท่าๆกันทั้ง 4 หัว ดังนั้นถ้าหัวใดหัวหนึ่งเสีย แปลว่าต้องเปลี่ยนทั้ง 4 หัว ราคาคร่าวๆก็ควรเตรียมเงินไว้ประมาณหนึ่งแสน

5.  ต้องล้างหัวฉีดบ่อยแค่ไหน

กรณีนี้ตอบยาก ขึ้นอยู่กับว่าท่านเคยใช้น้ำมันพรีเมี่ยมบ่อยแค่ไหน เพราะในน้ำมันพรีเมี่ยมมักผสมน้ำยาล้างหัวฉีดมาให้แล้ว ส่วนท่านที่เติมแต่น้ำมันธรรมดาเป็นประจำ ขอแนะนำว่าให้ล้างหัวฉีดทุกๆ 1,000 กม. หรือ 1,500 กม. เพื่อป้องกันการเสียเงินแสน



MENU:------------------------------------


เทคนิคดูแลรถ
 You are what you eat. สุขภาพของท่านขึ้นอยู่กับ สิ่งที่ท่านรับประทานเข้าไป รถของท่านก็เช่นกัน....ประสิทธิภาพของรถจะดีแค่ไหน ก็อยู่ที่ท่านป้อนอะไรให้รถ” รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ รถบรรทุก หรือยานพาหนะอะไรก็ตาม เราซื้อมาในราคาแพงแสนแพง แต่ก็คุ้ม ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราใช้งานมันเกือบทุกวัน แน่นอนว่ารถทุกค่าย รถทุกคัน ล้วนออกแบบและสร้างมาอย่างดีอย่างเต็มกำลังความสามารถของวิศวะกร การปรับจูนแต่งเครื่องยนต์ต่างๆสามารถทำ หรือไม่ทำก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องทำก็คือการใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพเติมให้กับรถของท่าน (อ่านต่อ คลิก)
 
จัดจำหน่ายโดย
Heart Core
Limited Partnership
54 Prachacheun Rd. Soi Klangmontri
Chatuchak, BKK 10900

สั่งซื้อออนไลน์ได้แล้วที่ Shopee | Lazada
สอบถามข้อมูล โทร 099 228 7575